ธงประจำชาติ
บังกลาเทศ (เบงกาลี) หรือชื่อทางการคือ สาธารณรัฐประชาชนบังกลาเทศ เป็นประเทศในเอเชียใต้ ซึ่งครอบครองเนื้อที่ในส่วนตะวันตกของภูมิภาคเบงกอล คำว่า "บังกลาเทศ (Bangladesh)" แปลว่า "ประเทศแห่งเบงกอล" ถูกล้อมรอบประเทศอินเดีย 3 ด้าน ยกเว้นพรมแดนด้านใต้ติดอ่าวเบงกอล และตะวันออกเฉียงใต้ติดประเทศพม่า
แผนที่สาธารณรัฐประชาชนบังกลาเทศ
ประวัติศาสตร์
ดินแดนที่เป็นประเทศบังกลาเทศในปัจจุบันมีประวัติศาสตร์อันยาวนานกว่า 1,000 ปี เดิมเป็นส่วนหนึ่งของชมพูทวีป (อินเดีย)
เคยเป็นดินแดนที่เจริญรุ่งเรืองของศาสนาพราหมณ์และพระพุทธศาสนามาก่อน
ต่อมาพ่อค้าชาวอาหรับได้นำศาสนาอิสลามเข้ามาเผยแผ่
จนชาวบังกลาเทศส่วนใหญ่นับถือศาสนาอิสลามมาจนถึงทุกวันนี้
ในปี พ.ศ. 2300 อังกฤษได้เข้าไปยึดครองชมพูทวีป
และดินแดนแห่งนี้ได้ตกเป็นอาณานิคมของอังกฤษเกือบ 200 ปี
ต่อมาในปี พ.ศ. 2490 ดินแดนแถบนี้ได้รับเอกราช
แต่บังกลาเทศก็ยังคงเป็นส่วนหนึ่งของปากีสถาน เรียกกันว่าปากีสถานตะวันออก
ต่อมาชาวเบงกาลีในปากีสถานตะวันออก ไม่พอใจการบริหารงานของรัฐบาลกลาง
ซึ่งอยู่ในปากีสถานตะวันตก
เนื่องจากถูกแสวงหาประโยชน์และได้รับการปฏิบัติอย่างไม่เท่าเทียม
ซึ่งสร้างความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจระหว่างปากีสถานตะวันตกและปากีสถานตะวันออก
นอกจากนี้ปากีสถานทั้งสองยังมีความแตกต่างด้านภาษา วัฒนธรรม และเชื้อชาติอีกด้วย
ชาวเบงกาลีจึงจัดตั้งพรรค Awami League (AL) ขึ้นเมื่อปี
พ.ศ. 2492เพื่อปกป้องผลประโยชน์ของชาวเบงกาลี โดยมี Sheikh
Mujibur Rahman เป็นหัวหน้า
เมื่อวันที่ 26 มีนาคม พ.ศ. 2514 ปากีสถานตะวันออกได้ประกาศแยกตัวเป็นเอกราช ภายใต้ชื่อ
สาธารณรัฐประชาชนบังกลาเทศ ทำให้ปากีสถานตะวันตกส่งกองกำลังทหารเข้าปราบปราม
อินเดียได้ส่งทหารเข้าไปช่วยเหลือปากีสถานตะวันออก
ในที่สุดฝ่ายปากีสถานตะวันตกพ่ายแพ้ในการรบ และยินยอมให้เอกราชแก่บังกลาเทศ
เมื่อวันที่ 16 ธันวาคม พ.ศ. 2514 มีนาย
Sheikh Mujibur Rahman หัวหน้าพรรค AL ดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีคนแรกของบังกลาเทศ
โดยเป็นประมุขของรัฐและฝ่ายบริหารคนแรก (Father of the Nation)
รูปปั้นพระพุทธรูปสมัยศตวรรษที่
11
ภูมิศาสตร์
ภูมิประเทศ
พื้นที่ส่วนใหญ่เป็นที่ราบลุ่มแม่น้ำสำคัญ 2 สาย คือ แม่น้ำคงคาและแม่น้ำพรหมบุตร
แม่น้ำคงคา (Ganga)
แม่น้ำพรหมบุตร
(Brahmaputra)
ภูมิอากาศ
อยู่ในเขตมรสุม เมืองร้อน ฝนตกชุก มีปริมาณน้ำฝนมากถึง 5,690
มิลลิเมตร/โดยเฉพาะในช่วงเดือนกรกฎาคม-ตุลาคม
พื้นที่ราบลุ่มหลายแห่งมักจะประสบปัญหาอุทกภัยอยู่เสมอ
แบ่งออกเป็น 3 ฤดู คือ ฤดูหนาว (พฤศจิกายน-กุมภาพันธ์) ฤดูร้อน
(มีนาคม-มิถุนายน) และฤดูฝน (กรกฎาคม-ตุลาคม)
อุณหภูมิต่ำสุดในเดือนมกราคม ประมาณ 5.5 - 14.4 OC
อุณหภูมิสูงสุดในเดือนกรกฎาคม ประมาณ 29.9 - 36.8 OC
ความชื้นในกรุงธากาช่วงฤดูฝนสูงมาก
การแบ่งเขตการปกครอง
บังกลาเทศแบ่งเป็น 7 เขตการบริหาร (administrative divisions) ซึ่งมีชื่อตามเมืองหลวงของเขต ดังนี้:
1. เขตขุลนา (Khulna)
2. เขตจิตตะกอง (Chittagong)
3. เขตซิลเหต (Sylhet)
4. เขตธากา (Dhaka)
5. เขตบาริซาล (Barisal)
6. เขตราชชาหิ (Rajshahi)
7. เขตรังปุ (Rangpur)
ด้านความมั่นคง
รัฐบาลบังกลาเทศที่ผ่านมาให้ความสำคัญกับการดำเนินการเพื่อปราบปรามการก่อการร้าย
เช่น การจับกุมการค้าอาวุธที่ผิดกฎหมาย
การจับกุมและดำเนินคดีกับผู้ที่ถูกระบุแน่ชัดว่าเป็นผู้ก่อการร้าย
การประกาศว่ารัฐบาลจะไม่ให้ที่พักพิงแก่ผู้ก่อการร้าย การปราบปรามกิจกรรมการก่อการร้ายในสถานศึกษา
การจัดการประชุมระดับชาติเกี่ยวกับการต่อต้านการก่อการร้าย
การสืบสวนเกี่ยวกับเหตุการณ์ลอบวางระเบิดต่าง ๆ และการจัดตั้งการปฏิบัติการ “Operation
Clean Heart” ซึ่ง
เป็นการรวมกองกำลังทหารร่วมกับตำรวจในการจับกุมผู้ต้องสงสัยเรื่องการก่อการร้ายทั่วประเทศ
นอกจากนี้ รัฐบาลชุดที่ผ่านมายังประกาศที่จะยกเลิกกฎหมายต่างๆ ที่ไม่เป็นธรรม
ซึ่งออกโดยรัฐบาลในอดีต อย่างไรก็ดี นโยบายการปราบปรามการก่อการร้ายได้ถูกวิพากษ์วิจารณ์จากพรรคฝ่ายค้าน
นักศึกษา และประชาชนว่าเป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชนและกระทำไปเพื่อจำกัดบุคคลที่ไม่เห็นด้วยกับรัฐบาล
กองทัพเรือบังกลาเทศ
ด้านเศรษฐกิจ
แม้บังกลาเทศจะเป็นหนึ่งในบรรดาประเทศที่มีการพัฒนาน้อยที่สุด (LDCs)
แต่ก็ถือว่าเป็นประเทศที่มีศักยภาพทางเศรษฐกิจซึ่งไทยไม่ควรมองข้าม
โดยเป็นแหล่งทรัพยากรน้ำมัน ก๊าซธรรมชาติ และทรัพยากรทางทะเล
พร้อมกันนี้ยังสามารถเป็นตลาดสินค้าต่าง ๆ ของไทย เช่น สินค้าอุปโภคบริโภค
และการบริการได้อย่างมีประสิทธิภาพ ถึงแม้ว่าภาคธุรกิจบริการจะทำรายได้ให้กับบังกลาเทศคิดเป็นสัดส่วนถึงร้อยละ
50 ของ GDP แต่ประชาชนบังกลาเทศส่วนใหญ่ยังมีฐานะยากจน
และประกอบอาชีพการเกษตร รัฐบาลบังกลาเทศเน้นในเรื่องเสรีภาพทางเศรษฐกิจ (economic
freedom) โดยใช้การทูตเชิงเศรษฐกิจ (economic diplomacy) ให้ความสำคัญกับการดึงการลงทุนจากต่างชาติ
(อนุญาตให้คนต่างชาติลงทุนถือหุ้นได้ทั้งหมดเช่นเดียวกับชาวบังกลาเทศ)
รวมทั้งการเรียกความเชื่อมั่นในการลงทุนในตลาดหุ้นของนักลงทุนทั้งภายในและจากต่างประเทศให้กลับคืนมา
กระตุ้นการส่งออกโดยเฉพาะการเพิ่มโควตาการส่งออกเสื้อผ้าสำเร็จรูปไปยังต่างประเทศ
การส่งเสริมให้แรงงานบังกลาเทศไปทำงานในต่างประเทศ และการทบทวนเรื่องการให้ visa
on arrival กับประเทศต่างๆ เพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยว ประเทศบังกลาเทศตั้งอยู่ริมอ่าวเบงกอล
มหาสมุทรอินเดีย ทำให้ได้รับอิทธิพลลมมรสุมจากมหาสมุทรอินเดียอยู่เสมอ
เศรษฐกิจของบังกลาเทศจึงขึ้นอยู่กับการเพาะปลุกเป็นส่วนใหญ่ โดยเฉพาะปอกระเจา
ซึ่งใช้เป็นวัตถุดิบในการถักกระสอบ
แต่เนื่องจากบังกลาเทศมักประสบปัญหาอุทกภัยเป็นประจำ
เนื่องจากเป็นจุดที่พายุไซโคลนเข้ามากที่สุดในบรรดาประเทศในเอเชียใต้
ทำให้การเพาะปลูกของบังกลาเทศก็ไม่ค่อยดีนัก ด้านอุตสาหกรรม
อุตสาหกรรมของบังกลาเทศส่วนมากเป็นอุตสาหกรรมที่เกี่ยวเนื่องกับผลผลิตทางการเกษตร
เช่น สิ่งทอซึ่งส่งออกเป็นอับดับสองของโลกรองจากจีน กระดาษ น้ำตาล เป็นต้น
คาร์วานพลาซ่า
กรุงธากา
สะพานจามูนา
หนึ่งในสะพานที่ยาวที่สุดในเอเชียใต้
สินค้าส่งออก ได้แก่ เสื้อผ้า ปอกระเจา เครื่อแต่งกาย
อาหารทะเลและปลาแช่แข็ง ประเทศผู้ค้าสำคัญ ได้แก่ สหรัฐอเมริกา เยอรมนี
สหราชอาณาจักร ฝรั่งเศส เนเธอร์แลนด์ อิตาลี
สินค้านำเข้า ได้แก่ เครื่องจักรกล เคมีภัณฑ์ เหล็กและเหล็กกล้า ปิโตรเลียม
ประเทศคู่ค้าที่สำคัญ ได้แก่ อินเดีย สหภาพยุโรป ญี่ปุ่น สิงคโปร์ จีน
สกุลเงินที่ใช้ : คือ ตากา
ตากา(Taka)
การค้า
บังกลาเทศยึดหลักเศรษฐกิจการตลาด มีนโยบายส่งเสริมการส่งออก อย่างไรก็ดี
โดยที่การส่งออกของบังกลาเทศขึ้นอยู่กับสินค้าเพียงไม่กี่ชนิดและมีตลาดส่งออกที่จำกัดเพียงไม่กี่ประเทศ
(โดยร้อยละ 76 ของการส่งออกทั้งหมดเป็นสินค้าสิ่งทอที่ส่งไปยุโรป)
จึงให้ความสำคัญกับการสร้างความหลากหลายให้กับตัวสินค้าและหาตลาดส่งออกเพิ่มขึ้น
ทั้งนี้เพื่อเพิ่มปริมาณการส่งออกให้มากที่สุดและลดการขาดดุลการค้า
บังกลาเทศพึ่งพาการนำเข้าจากอินเดียเป็นส่วนใหญ่ มีมูลค่าถึงปีละ 4 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ อย่างไรก็ตาม รัฐบาลล่าสุดได้มั่งเน้นนโยบายที่จะหันไปค้าขายกับประเทศอื่นๆ
ให้มากขึ้น เพื่อลดการพิ่งพาอินเดียลง สวนปัญหาและอุปสรรคทางการค้า ได้แก่
การห้ามนำเข้าหรือการจำกัดโควตาข้าวและน้ำตาล รวมทั้งปัญหาด้านการขนส่ง เป็นต้น
ระบบพิธีการศุลกากรมาตรการที่มิใช่ทางภาษี เช่น การห้ามนำเข้าหรือจำกัดโควตา
การลงทุน
ตั้งแต่ต้นปี พ.ศ. 2533
บังกลาเทศได้ปรับเปลี่ยนนโยบายหลายประการเพื่อกระตุ้นและส่งเสริมการลงทุนจากต่างประเทศ
เช่น ไม่มีข้อจำกัดเกี่ยวกับการถือหุ้นของต่างชาติ
อนุญาตให้ส่งผลกำไรและรายได้ออกไปต่างประเทศได้โดยเสรี
และมีมาตรการให้ความสำคัญกับบริษัทต่างชาติที่เข้าไปลงทุนในประเทศ เป็นต้น
โดยสหรัฐอเมริกาเป็นนักลงทุนรายใหญ่ที่สุดในบังกลาเทศ รองลงมา คือ มาเลเซีย
ญี่ปุ่น และ สหราชอาณาจักร อุตสาหกรรมที่ควรเข้าไปลงทุน ได้แก่
ด้านการสำรวจแหล่งก๊าซธรรมชาติ ซึ่งมีมากถึง 11 ล้านล้านตารางฟุต
ด้านสาธารณูปโภค ด้านประมง
(แต่ปัจจุบันรัฐบาลบังกลาเทศยังไม่มีนโยบายที่จะเปิดให้ต่างชาติเข้าไปลงทุนในการจับปลาในบังกลาเทศ)
การแปรรูปผลผลิตทางการเกษตรด้านอุตสาหกรรม เช่น เสื้อผ้า เครื่องหนัง
อุตสาหกรรมเบา ด้านบริการต่าง ๆ และด้านการผลิตสินค้าอุปโภคและบริโภคขั้นพื้นฐาน
อุปสรรคที่สำคัญที่ขัดขวางการลงทุน ได้แก่
การประสบภัยจากพายุไซโคลนและอุทกภัยบ่อยครั้ง การขาดแคลนโครงสร้างพื้นฐานด้านต่าง
ๆ และปัญหาการเมืองภายในประเทศโดยเฉพาะการเดินขบวนประท้วง (hartal) ของพรรคฝ่ายค้านที่มีอยู่เป็นประจำ
ด้านต่างประเทศ
รัฐบาลชุดล่าสุดได้ดำเนินนโยบายต่างประเทศที่มุ่งเสริมสร้างผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจ
การดำเนินนโยบายต่างประเทศแบบมุ่งตะวันออก (Look East) โดยการกระชับความสัมพันธ์ที่ใกล้ชิดกับจีนและประเทศต่าง
ๆ ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ อาทิ ไทย พม่า และสมาชิกอาเซียน
ซึ่งนับเป็นมิติใหม่ของนโยบายต่างประเทศบังกลาเทศ
การเดินทางเยือนภูมิภาคเอเชียของนายกรัฐมนตรีบังกลาเทศอย่างต่อเนื่อง
นับเป็นประจักษ์พยานที่ดีต่อการเสริมสร้างนโยบายต่างประเทศที่มุ่งสนับสนุนผลประโยชน์ของบังกลาเทศในประเทศใหม่
ๆ เหล่านี้ ซึ่งการดำเนินนโยบายแบบมุ่งตะวันออกของบังกลาเทศนี้
ส่วนหนึ่งเป็นเพราะต้องการลดอิทธิพลของอินเดียที่มีต่อบังกลาเทศลงด้วยนอกจากนี้
บังกลาเทศมุ่งส่งเสริมความสัมพันธ์กับตะวันออกกลาง
ซึ่งมีบทบาทสำคัญต่อเศรษฐกิจบังกลาเทศในด้านพลังงาน การส่งออกแรงงาน
และความช่วยเหลือเพื่อการพัฒนาประเทศ และในฐานะที่เป็นประเทศ OIC ปัจจุบัน บังกลาเทศเป็นสมาชิก BIMSTEC ACD SAARC NAM และ ARF และเป็นประเทศที่ใหญ่ที่สุดในการสนับสนุนภารกิจการรักษาสันติภาพ
มีทหารบังกลาเทศจำนวน 9,758 ราย ปฏิบัติใน 12 ภารกิจทั่วโลก (ร้อยละ 14 ของกองกำลังรักษาสันติภาพทั้งหมด)
ซึ่งเป็นการส่งเสริมภาพลักษณ์ของบังกลาเทศในทางที่ดี
การเมือง
ฝ่ายนิติบัญญัติ
บังกลาเทศมีเพียงสภาเดียว คือ Jatiya Sangsad หรือสภาแห่งชาติ ประกอบด้วยสมาชิก 300 คน มาจากการเลือกตั้งทั่วไปทุก 5 ปี
โดยมี Barrister Muhammad Jamiruddin Sircar เป็นประธานสภาแห่งชาติคนปัจจุบัน
(โดยประธานสภาจะดำรงตำแหน่งเป็นรักษาการประธานาธิบดี
หากประธานาธิบดีไม่สามารถดำรงตำแหน่งได้)
ฝ่ายบริหาร
ประธานาธิบดีเป็นประมุขของรัฐ มาจากการเลือกสรรโดยรัฐสภา
และอยู่ในตำแหน่งคราวละ 5 ปี ปฏิบัติหน้าที่โดยได้รับคำแนะนำจากนายกรัฐมนตรี
มีบทบาทหน้าที่ในด้านพิธีการ มีอำนาจในการแต่งตั้งรองประธานาธิบดี นายกรัฐมนตรี
คณะรัฐมนตรี หัวหน้าคณะผู้พิพากษาและคณะผู้พิพากษา
แต่เมื่ออยู่ในฐานะผู้รักษาการขณะที่ไม่มีรัฐบาล
ประธานาธิบดีจะมีอำนาจเพิ่มขึ้นในการควบคุมกระทรวงกลาโหมและสามารถประกาศกฎอัยการศึก
รวมทั้งสามารถยุบสภาฯ
ตามที่ได้รับการเสนอโดยนายกรัฐมนตรีและแต่งตั้งรัฐบาลรักษาการได้
ประธานาธิบดีคนปัจจุบัน คือ ดร. Iajuddin Ahmed ดำรงตำแหน่งเมื่อวันที่
6 กันยายน พ.ศ. 2545
พรรคที่มีเสียงข้างมากในรัฐสภาจะได้รับโอกาสในการจัดตั้งรัฐบาลก่อน
โดยหัวหน้าพรรคที่ได้รับเสียงข้างมากจะได้รับการแต่งตั้งจากประธานาธิบดีให้ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีและอยู่ในตำแหน่งคราวละ
5 ปี ล่าสุดพรรค Bangladesh Nationalist Party นำโดยนาง Khaleda
Zia ได้รับชัยชนะในการเลือกตั้งในปี พ.ศ. 2544
และได้สิ้นสุดวาระลงเมื่อวันที่ 27 ตุลาคม พ.ศ. 2549
ปัจจุบันมีรัฐบาลรักษาการโดยมี ดร. Fakhruddin Ahmed ดำรงตำแหน่งหัวหน้าที่ปรึกษารัฐบาลรักษาการ
(Chief of Caretaker Government) เพื่อดูแลกระทรวงต่างๆ
และเตรียมการเลือกตั้งที่จะมีขึ้นในช่วงปลายปี พ.ศ. 2550
ฝ่ายตุลาการ
บังกลาเทศใช้ระบบศาลแบบอังกฤษ โดยมีทั้งศาลแพ่งและศาลอาญา โดยศาลฎีกา (Supreme
Court) เป็นศาลสูงสุดซึ่งแบ่งเป็นสองส่วนคือ Appellate
Division และ High Court Division และยังมีศาลระดับล่างได้แก่
district courts thana courts และ village courts นอกจากนี้ยังมีศาลพิเศษอื่นๆ เช่น ศาลครอบครัว ศาลแรงงาน เป็นต้น
Jatiyo
Sangshad Bhaban
ประชากร
ประชากรมีประมาณ 133.4 ล้านคน มีอัตราการเติบโต 1.42%
ความหนาแน่นของ ประชากร 889
คน ต่อ ตร.กม. ซึ่งหนาแน่นมาก ส่วนใหญ่อยู่ในชนบท แต่ช่วง ทศวรรษที่ผ่านมาอัตราการเกิดของประชากรในพื้นที่เมืองมีมากกว่าในชนบท
พลเมืองมีการศึกษา 65% อ่านออกเขียนได้ 41.1% (UNESCO
2000-2004)
ศาสนา
ประชากรบังกลาเทศ นับถือศาสนาอิสลาม 88.3% ศาสนาฮินดู
10.5% ศาสนาคริสต์ 0.7% ศาสนาพุทธส่วนมากอยู่ในจิตตะกอง
0.5% ในบังกลาเทศมีตระกูลชาวพุทธสืบเนื่องมานานคือ
ตระกูลบารัว
คมนาคม
ทางบก Bangladesh Telecom Regulatory Commission กำกับดูแลกิจการรถไฟ
มีทางรถไฟความยาว 2,745 กม. ทางหลวง 201,182 กม. ท่อส่งก๊าซธรรมชาติ (Pipelines) 1,250 กม.
ทางน้ำ ท่าเรือทางทะเล ตั้งอยู่ที่ Chittagong และ Mongla
ท่าเรือทางน้ำภายในประเทศ ที่สำคัญตั้งอยู่ที่ Dhaka,
Chanpur, Barisal,
ขอขอบคุณข้อมูลจาก
th.wikipedia.org/wiki/ประเทศบังกลาเทศ