Post
Modern
Post Modern คือ แนวความคิดที่มาหลังจากยุค modern
ซึ่งเป็นช่วงหลังการปฏิวัติอุตสาหกรรม
ที่อะไรต่างๆถูกกำหนดอยู่ในหลักเกณฑ์และทฤษฏี แต่ยุค postmodern เป็นยุคที่ปฏิเสธสิ่งเดิมๆในยุคmodern โดยเน้นเสรีภาพและอิสระของบุคคล
ไม่เชื่อในโลกของความจริง ไม่เชื่อเรื่องความเป็นสากล
เพราะเชื่อว่าแต่ละคนแต่ละวัฒนธรรมนั้นมีเหตุผลของตัวเอง
ไม่ควรจะให้ใครมาตัดสินว่าอันไหนสิ่งใดดีที่สุด
แล้วคิดว่าสิ่งนั้นต้องดีสำหรับคนอื่นด้วย
ดังนั้นจึงไม่คิดว่าสังคมที่คิดว่าเป็นสากลนั้นไม่มีจริง
ตัวอย่างอาคารที่สร้างด้วยแนวคิดโพสท์โมเดิร์น
Post Modern เป็นยุคหลัง Modern จึงทำให้เกิดการถวิลหา คลาสิค
เป็นยุคที่นำเอา ความแข็งกร้าว ตรงไปตรงมา สัจจะแห่งเนื้อแท้ มารวมกับ ความนุ่มนวล
อ่อนช้อย ลวดลายมากมาย การปกปิดสัจจะแห่งเนื้อแท้มาก+น้อย = Post Modernง่ายๆ เอาตำรา The Seven Lamp for Architecture (เป็นตำราทางสถาปัตยกรรมเล่มแรกของโลก)
รวมกับ Theory ของ บาวเฮ้าส์ มารวมกันก็ได้ Post
Modern...
Post Modern เป็นรูปแบบที่เกิดขึ้นในปลายยุคทศวรรษที่ 80
นำโดยกลุ่มนักออกแบบที่มีชื่อเสียงมากมาย เช่น Michael Graves, Philippe
Starck เป็นต้น คำว่า PostModern มาจากคำว่า Post
ซึ่ง แปลว่าหลังและ Modern ก็หมายถึงยุค Modernนั่นเอง ความหมายรวมของPostModern หมายถึง
รูปแบบงานออกแบบในยุคหลังจากModern นั่นเอง
หลักการโดยทั่วไปของ
Post
Modern คือการสร้างรูปแบบงานออกแบบใหม่ที่ไม่ใช่ทั้ง Modern และ รูปแบบ Classic แต่กลับเป็นการสร้างลูกผสมระหว่างทั้งสองรูปแบบขึ้นมาดังจะ
เห็นได้จากผลงานส่วนใหญ่ของรูปแบบนี้จะมีการสร้างชิ้นงานแบบ Modern ที่เรียบง่าย และมีรูปทรงที่โดดเด่น เตะตา แต่ในขณะเดียวกัน
ก็มีการอ้างอิงถึงรายละเอียด หรือกลิ่นอายของงาน Classic ไปด้วยในตัว
ตัวอย่างอาคารที่สร้างด้วยแนวคิดโพสท์โมเดิร์น
ในบางครั้งงาน
Post
Modern ก็จะไปเน้นที่การเล่นเรื่อง Space กล่าวคือ
Space ของงาน Classic มักจะเน้นที่
ความหรูหรา ใหญ่โตและอลังการ ในขณะที่รูปแบบ Modern จะเน้นที่ความเรียบง่าย
และการสร้างความรู้สึกที่สัมผัสได้ ในทันทีที่เข้าไปพบ หรือสัมผัสแต่รูปแบบ Post
Modern มักจะเน้นที่ การสร้างความรู้สึกคล้ายใช่ และ คล้ายไม่ใช่
โดยมักจะสร้าง Space ที่ให้ความรู้สึกที่เปลี่ยนไป ในแต่ละ
ก้าวย่าง ที่เข้าไปสัมผัส
รูปแบบ
Post
Modern ก็มักจะมีการใช้สีสรรที่สดใส หรือวัสดุที่แปลกใหม่
ตลอดจนรูปทรงที่แปลกตา เข้ามาใช้ในงานด้วยเช่นกัน โดยเฉพาะอาคาร สถาปัตยกรรม
ทำให้เรามักจะได้เห็น อาคารรูปทรงแปลกประหลาด หรือมีสีสรร
สดใสตัดกับอาคารสี่เหลี่ยมทึบตันรอบข้าง โผล่มาอย่าง น่าประทับใจ
ศิลปะและปรัชญาในยุคโพสท์โมเดิร์น
ความแปลกใหม่และลูกเล่นที่สร้างสรรค์ต่างๆ
เหล่านี้ ได้สร้างให้งาน Post Modern ขึ้นสู่จุดสูงสุดอย่างรวดเร็วและด้วยเทคโนโลยีการสื่อสาร
ที่ทันสมัย ยิ่งทำให้งานออกแบบนี้แพร่กระจายไปทั่วโลก Post Modern กลายเป็นรูปแบบใหม่ ที่นักออกแบบทั่วโลกให้ความสนใจ
และยินดีที่จะสร้างสรรค์ผลงานในรูปแบบนี้ ภายหลังจากที่
ต้องเก็บกดอยู่นานกับความเรียบง่าย วัสดุที่จำกัด และรูปทรงเรขาคณิต ของงาน Modern
แก่นสารอีกแล้ว
ไม่มีสิ่งที่ยึดเหนี่ยวอีกแล้ว
ทุกสิ่งทุกอย่างไม่มีความแน่นอน.นอกจากนี้ในยุคโมเดิร์น ยังเน้นในเรื่องของฝรั่งผิวขาว
หรือคนตะวันตก เป็นผู้นำของโลก หรือเป็นเอตทัคคะในทุกๆศาสตร์
เป็นคนที่ประกาศวาทกรรมที่จริงแท้ที่สุดอันปฏิเสธไม่ได้
พวกโพสท์โมเดิร์นปฏิเสธเรื่องนี้เช่นเดียวกัน พวกเขาบอกว่า ethnic
group หรือชนกลุ่มน้อยที่เป็นรองในสังคม, พวก minority
หรือใครก็แล้วแต่ที่เคยด้อยกว่าในยุคโมเดิร์น
สามารถที่จะประกาศวาทกรรมของตนได้เช่นเดียวกัน สามารถที่จะสร้าง discourse ของตนเองได้เช่นเดียวกันเหมือนกับคนผิวขาวหรือคนตะวันตก.
จะเห็นได้ว่าในยุคโพสท์โมเดิร์น เป็นการตีกลับยุคโมเดิร์น อย่างค่อนข้างชัดเจน
ประการต่อมา ในยุคโมเดิร์นนั้น
เป็นยุคซึ่งได้สืบทอดความคิดเรื่องผู้ชายเป็นใหญ่กว่าผู้หญิงมาตามลำดับ
แต่ในยุคโพสท์โมเดิร์น ไม่เห็นด้วยกับความคิดนี้
บอกว่าผู้หญิงก็มีสิทธิของพวกเธอเท่าเทียมกับผู้ชาย ผู้หญิงก็มีวาทกรรมของตนเอง
ผู้หญิงไม่จำเป็นต้องอยู่ภายใต้กฎเกณฑ์ที่ผู้ชายเป็นฝ่ายกำหนด
โดยเฉพาะโครงสร้างทางสังคม ความสัมพันธ์เชิงอำนาจ. ระเบียบกฎเกณฑ์ต่างๆที่ออกมา
ผู้หญิงเป็นเบี้ยล่างมาโดยตลอด เช่น การใช้นามสกุลของผู้ชายหลังแต่งงานก็ดี
กฎหมายเกี่ยวกับเรื่องชู้สาวก็ดี รวมไปถึงเรื่องของการจัดการด้านทรัพย์สิน
และกระทั่งความไม่เท่าเทียมในเรื่องของการประกอบอาชีพและค่าแรง
จะเห็นถึงความไม่เสมอภาคกันเหล่านี้ได้อย่างชัดเจน นอกจากนี้ ในยุคโมเดิร์น
ยังให้ความสำคัญในเรื่องของความเจริญ และการพัฒนาในด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี.
ยุคโพสท์โมเดิร์นบอกว่าไม่จำเป็น เทคโนโลยีเป็นเครื่องมือที่ทำลายธรรมชาติ
ทั้งความเป็นมนุษย์และสิ่งแวดล้อม ฉะนั้น
การรณรงค์ต่างๆซึ่งเกิดขึ้นในช่วงหลังสมัยใหม่นี้ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของนิเวศวิทยา
เรื่องสิ่งแวดล้อมธรรมชาติ เรื่องของสิทธิสตรี เรื่องอะไรต่างๆเหล่านี้ทั้งหมด
เป็นความคิดที่ against ต่อยุคโมเดิร์น
ศิลปยุคโพสต์โมเดิร์น
Modernism
ศิลปยุคโมเดิร์น
“ศิลปะสมัยใหม่” (Modern Art) และ “ลัทธิสมัยใหม่” (Modernism, โมเดิร์นนิสม์) คือ
ทัศนคติใหม่ๆที่มีต่ออดีตและอนาคต ซึ่งเป็นไปแบบสุดขั้ว
โดยเริ่มต้นมาตั้งแต่ปลายคริสต์ศตวรรษที่ 18
ที่ถือกันว่าเป็นยุคปฏิวัติของยุโรป ศิลปินเริ่มที่จะให้การยอมรับการเขียนภาพ “เหตุการณ์ปัจจุบัน-ร่วมสมัย” ในยุคของตนว่า
สามารถมีคุณค่าทางศิลปะได้เท่าเทียมกับภาพเขียนเรื่องราวในอดีตตั้งแต่ยุคโบราณ
หรือยุคประวัติศาสตร์จากคัมภีร์ไบเบิล
การเปลี่ยนแปลงทางการเมืองขนานใหญ่ทั่วยุโรปใน ปี 1848
ประกอบกับการอ่อนแรงของศิลปะแบบทางการ หรือ ศิลปะตามหลักวิชา (academic
art) ทำให้กระแสศิลปะลัทธิสมัยใหม่ยิ่งเติบโต
จิตรกรแนว
นีโอ-คลาสสิสม์ (Neo-Classicism) อย่าง ฌาค
หลุยส์ ดาวิด (Jacques Louis David) เขียนภาพเหตุการณ์การปฏิวัติฝรั่งเศส
จิตรกรแนว โรแมนติสิสม์ (Romanticism) อย่าง ฟรานซิสโก เดอ
โกย่ (Francisco de Goya) เขียนภาพเหตุการณ์ตอนที่นโปเลียนจากฝรั่งเศสรุกรานสเปน
เรื่องราวที่จิตรกรทั้งสองเขียนในภาพของพวกเขา
ได้ช่วยแผ้วถางทางของศิลปะในช่วงกลางคริสต์ศตวรรษที่ 19
ดังที่เห็นได้จากงานศิลปะที่ปฏิเสธการเขียนภาพเกี่ยวกับอดีต ของศิลปิน เรียลลิสม์
(Realism, สัจนิยม) อย่างเช่น กุสตาฟ กูร์เบต์ (Gustave
Courbet) และ เอดัวร์ มาเนต์ (Edouard Manet)
Modernism โมเดิร์นริซึ่ม คือ งานศิลปะและการออกแบบในศตวรรษที่ 20
เป็นการขานรับการเติบโตของความเป็นระบบอุตสาหกรรมและเทคโนโลยีอย่างเต็มที่
โดยเฉพาะในช่วงสิบปีทองของต้นศตวรรษ เราเรียกกลุ่มเคลื่อนไหวศิลปะในช่วงนี้ว่า Modernism
(1920-1930) หัวใจของการออกแบบของโมเดริ์นริซึ่ม
1. ไม่ทิ้งความเป็นสุนทรียภาพในงานเชิงหัตถกรรม
แต่ผลิตด้วยระบบเครื่องจักรอย่างประณีต
เพื่อให้ได้งานที่มีความเป็นมาตรฐานเสมอกันในทุกชิ้น
2. คำนึงถึงประโยชน์ใช้สอยเป็นหลัก
3.
ลดการตกแต่งฟุ่มเฟือย แต่เน้นในเรื่องของโครงสร้างหลัก
จึงทำให้งานออกมาเรียบง่ายและขึงขัง
4. เป็นการตอบรับเทคโนโลยี ด้วยการลดบทบาททางการวาง Concept หรือแนวความคิดที่ลึกซึ้ง และเน้นความเรียบง่ายในแนวความคิด
ตัวอย่าง เช่น ภาพของ “ปาโบล ปีกัสโซ” จิตรกรเอกชาวสเปน มีชื่อว่าภาพ “
นู๊ด, Green Leaves, and Bust ”
1. แอบมองหลังม่าน
ถ้าสังเกตให้ดีจะเห็นว่าบริเวณหมายเลข 1
มีภาพใบหน้าของปีกัสโซซ่อนอยู่ตรงแบ็คกราวน์สีน้ำเงิน
ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ที่บ่งบอกถึงความสัมพันธ์อันผิดทำนองคลองธรรมหรือเป็นรักต้องห้ามระหว่างเขากับมารี-เตเรส
2. ภาพดับเบิ้ล
หรือภาพส่วนศีรษะ เหนือร่างอันเปลือยเปล่าของมารี-เตเรส
ปรากฏภาพส่วนศีรษะของเธอตั้งอยู่บนแท่นหรือเสารูปทรงคลาสสิก
ซึ่งแสดงให้เห็นว่าปีกัสโซชื่นชมและยกย่องในตัวเธอเป็นอย่างมาก
3. ใบไม้รูปหัวใจ ต้นไม้ในภาพให้ความรู้สึกพลิ้วไหว มีชีวิตชีวา เหมือนกำลังเจริญงอกงาม
และมีใบไม้สีเขียวใบหนึ่งที่เป็นรูปหัวใจ ซึ่งหมายถึงความรักที่เขามีต่อเธอ
4. เงาดำ ภาพเงาดำที่พาดผ่านร่างอันเปลือยเปล่าของมารี-เตเรสยังคงสร้างความพิศวงให้กับผู้เชี่ยวชาญด้านงานศิลปะ
จึงมีการตีความที่หลากหลายแตกต่างกัน โดยเฉพาะเงาดำที่อยู่บริเวณลำคอ
บางคนกล่าวว่าเป็นสัญลักษณ์ที่แสดงถึงความเป็นเจ้าของและแอบครอบครอง (เป็นชู้รัก)
ขณะที่บางคนบอกว่าเงาดำบริเวณลำคอถือเป็นการยกย่องภาพวาดของศิลปิน “อองรี มาติสส์” ที่อยู่ในความครอบครองของปีกัสโซ
มาติสส์ เคยวาดภาพลูกสาวคนโตสวมโช้คเกอร์หรือสร้อยแบบติดคอสีดำ
5. ผลไม้ต้องห้าม ปีกัสโซ วาดภาพผลแอปเปิ้ลที่ได้ชื่อว่าเป็น “ผลไม้ต้องห้าม”
อันเป็นสัญลักษณ์ของแรงดึงดูดทางเพศตามพระคัมภีร์เดิม
ซึ่งในที่นี้หมายถึงมารี-เตเรสนั่นเอง
ขอขอบคุณข้อมูลจาก
kanyaratpunpain.blogspot.com/2012/11/post-modern.html
www.designer.co.th › Artistic Movement
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น